เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ม.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันเด็ก เวลาวันเด็ก เราอยากให้เด็กดี แม้แต่รัฐบาล แม้แต่สังคมที่ไหนก็แล้วแต่เขาจะเจือจาน เป็นห่วงเป็นใยเด็ก ถ้าเด็กมันดี ถ้าเด็กดีมันจะมีความสุขของเขา แล้วเด็ก เวลากำเนิด กำเนิด ๔ เวลาเกิด เกิดด้วยเวรด้วยกรรม แต่เกิดมานะ ถ้ามีพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่ที่มีฐานะเขาก็ดูแลลูกเขาดี พ่อแม่ที่ดีแต่เขาไม่มีฐานะ เด็กก็ลำบากนิดหน่อย เด็กลำบากนิดหน่อยนะ ดูสมัยพุทธกาลนะ หมอชีวกนี้เขาไปทิ้งขยะ แล้วเขาไปเก็บมาจากถังขยะนะ หมอชีวก เด็กสมัยพุทธกาลนะ ดูสิ เด็กเกิดมาที่มีอำนาจวาสนาก็เยอะ เด็กเกิดมามันก็มีปมด้อยก็มาก นี่การกำเนิดๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน มันเรื่องเวรเรื่องกรรม การว่าเราอยากให้เด็กดีๆ ถ้าเด็กเขาดี พ่อแม่เขาก็มีความผูกพันอยู่แล้วโดยสายเลือด พ่อแม่ผูกพันโดยสายเลือด แต่เวลาทำไมพ่อแม่สื่อสารความเข้าใจกับลูกไม่ได้ล่ะ ทำไมลูกไม่เข้าใจพ่อแม่ล่ะ ไม่เข้าใจพ่อแม่เพราะเหตุใด เพราะบ้านแตกสาแหรกขาด เห็นไหม เด็กไร้บ้านๆ เขาเดินออกจากบ้านไป เขามีปัญหากระทบกระเทือนในบ้านแล้วเขาเดินออกจากบ้านไป เขาไปเผชิญชีวิตของเขาตั้งแต่เด็กตั้งแต่น้อย ทำไมเขาคิดของเขาอย่างนั้นล่ะ นี่เขาคิดของเขาอย่างนั้น โอกาสของเขา โอกาสได้รับการดูแล โอกาสได้ส่งเสริมการศึกษา เขาก็บกพร่องไปของเขา

เราก็อยากให้เด็กดีทั้งนั้นแหละ ทุกคนอยากให้เด็กดี แต่มันก็มีเรื่องเวรเรื่องกรรมเข้ามาเกี่ยวพันด้วย เรื่องเวรเรื่องกรรม พันธุกรรมของจิตๆ ความคิดของคนนะ ดูสิ เราเกิดมา ร่างกายเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน คนก็ไม่เหมือนกันด้วยความรู้สึกนึกคิด แล้วหัวใจที่เกิดมายิ่งมหัศจรรย์มากไปกว่านั้นอีกนะ เพราะว่าความคิดคนคิดว่าความคิดในใจของเราไม่มีใครรู้ได้ ความคิดของเรา เราคิดของเราโดยอิสระของเรา เราคิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ฉะนั้น เราศึกษาธรรมะๆ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อตรงนี้ไง

เรามีลูกของเรา เวลาเรามีลูกของเรา ลูกของเรา เราก็ดูแลลูกของเราด้วยความสามารถของเรา ด้วยสายเลือด เรารักของเราอยู่แล้ว ถ้าเรารักของเรา เราดูแลของเรา แล้วมันมีความสุข มีความสุข มีความปลื้มใจ มีความพอใจ ถ้าลูกของเราประสบความสำเร็จ ลูกของเราเป็นคนดีนะ ขอให้เป็นคนดี ขอให้มีความสุขเถอะ ขอให้ลูกกลับมาแล้วยิ้มแย้มแจ่มใส อย่าให้ลูกกลับมาแล้วหน้าเศร้าหมองอกตรม ไอ้อย่างนั้นพ่อแม่ก็เดือดร้อนไปด้วย แต่ถ้าลูกเรามีความสุข พ่อแม่เราก็มีความสุขไปด้วย เห็นไหม สิ่งที่มันเป็นสายเลือด มันเป็นความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ของเรา

แต่เวลาเราศึกษาธรรมะ ไปศึกษาทำไม สิ่งนี้เวลาที่ว่าเวลาเราดูแลลูกของเรา มากมายนะ พอเวลาลูกของเราโตมันจะโบยบินไป ความอาลัยอาวรณ์ต่างๆ มันมีทั้งนั้นแหละ ความอาลัยอาวรณ์ตั้งแต่เขาออกไปเพื่อสร้างฐานะ เขาออกไปเพื่อครอบครัวของเขานะ เขาไม่ได้ออกไปด้วยการพลัดพรากนะ นี่มันยังมีความผูกพันเลย ยังเป็นห่วงเป็นใยไปตลอด มันมีความเป็นห่วงเป็นใยไป นี้เราพูดถึงว่าเรามองกันแต่ภพชาตินี้ไง แต่มันมีที่มาที่ไปนะ

เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน ในปัจจุบันนี้ กรรมปัจจุบันนี้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แต่มันก็มีของเก่ามา ถ้ามีของเก่า เห็นไหม ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติกัน เราก็ปัญญาชนๆ ไง เกิดมาชาตินี้ชาติเดียวไง เกิดมาแล้ว ปฏิบัติแล้วเราก็ต้องปฏิบัติได้ เราศึกษาในพระไตรปิฎก เราต้องทำได้อย่างนั้นไง

ในพระไตรปิฎก เห็นไหม ดูสิ เวลาพระที่ขิปปาภิญญา ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวได้เป็นพระอรหันต์ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้น บางคน ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติไปทุกข์ๆ ยากๆ ไป ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้น

ท่านถึงบอกว่ามันเคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่ใช่เป็นเฉพาะชาตินี้ มันเป็นมาหลายภพหลายชาติ เขาเคยเป็นอย่างนั้น เคยเป็นอย่างนั้นมา เขาเคยทำของเขามา เขาเคยทำของเขามา เวลาในปัจจุบันนี้ถ้าเข้ามาประพฤติปฏิบัติมันก็ส่งเสริมมา นี่กรรมเก่า กรรมเก่า-กรรมใหม่ไง ทีนี้บอกเรื่องกรรมๆ เราก็บอกว่าเรื่องกรรมเป็นลัทธิยอมจำนน อะไรก็ยกให้กรรมๆ

กรรมก็คือกรรมดีไง กรรมดีทำดี ทำดีมันก็ให้ผลเป็นความดี เราทำคุณงามความดี ความดีต้องตอบสนองเป็นความดีอยู่แล้ว แต่ความดีความดีอะไรล่ะ ความดีของเรา เราก็ต้องการให้คนยกย่องสรรเสริญใช่ไหม ทำดีแล้วต้องให้คนยอมรับว่าเราเป็นความดีใช่ไหม แต่ถ้าเราทำความดีแล้ว ดูสิ เวลานั่งสมาธิภาวนา เวลาพระเรานั่งอยู่โคนไม้ นั่งอยู่ที่เรือนว่าง เราว่าเราทำของเรา คุณงามความดีของเรา เขาบอกว่าพระทำงานอะไร พระทำงานอะไร

งานอันละเอียดนะ งานเอาหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเรา งานที่เวลามีสติปัญญาขึ้นมา อย่างนี้มันละเอียดเข้าไปใหญ่ ว่าคนดีๆ มันดีตรงไหนล่ะ ว่าคนดีๆ เราดูถึงผลการเวียนว่ายตายเกิดนะ เวลาเวียนว่ายตายเกิด ชีวิต กว่าจะได้ชีวิตนี้มา ชีวิตนี้ได้มาแสนยาก ถ้าได้มาแสนยาก ดูสิ แล้วเราได้มาแล้วเราก็ใช้ไปในเรื่องโลก ใช้ในเรื่องภพชาตินี้ ถ้าภพชาตินี้นะ แล้วที่มาล่ะ แล้วในปัจจุบันนี้ล่ะ แล้วที่ไปล่ะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง สอนบอกว่าให้เรามั่นคง ถ้าเรามีความสามารถแล้วให้เราเสียสละทานของเรา คำว่า “เสียสละทาน” ไม่ต้องเป็นวัตถุ ความเสียสละทานคือน้ำใจของเรา อนุโมทนาทาน เห็นเขาทำคุณงามความดี ถ้าเห็นเขาทำคุณงามความดี สิ่งที่เป็นความดีเราศึกษาได้แล้ว เรามีประสบการณ์แล้ว เรามีตัวอย่างแล้ว

สิ่งนี้เวลาให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทานก็ให้ปัญญานี่ไง ให้ปัญญา ให้การศึกษา ให้เขามีสติมีปัญญา เขาพัฒนาตัวเขาเองได้ ถ้าพัฒนาตัวเองได้นะ แต่เวลาไปโรงเรียนเขามีครูบาอาจารย์ไปศึกษา มีการค้นคว้าการวิจัยจากของเรา แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติล่ะ ใครจะเป็นคนศึกษา

เวลาศึกษา เราศึกษาเรื่องใจของเรา เห็นไหม จิตแก้จิต เวลาจิตเราเอาหัวใจของเราแก้ไขใจของเรา ถ้าเป็นคนดี คนดีมันเป็นคนดีที่นี่ เพราะคนดีที่นี่มันจะย้อนกลับไปได้เลย บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติมาอย่างไร จุตูปปาตญาณ อนาคตจะไปอย่างไร แล้วสิ้นสุดของกระบวนการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ สอนที่อาสวักขยญาณ สอนลงที่ปัจจุบันนี้ ถ้าสอนลงที่ปัจจุบันนี้นะ เพราะคนที่รู้เรื่องปัจจุบันนี้ได้มันก็ปิดกั้น มันไม่ไปอนาคต แล้วอดีตมาก็จบลงที่นี่ แต่ถ้ามันปัจจุบันนี้ไม่รู้ อดีตอนาคตไม่รู้หรอก มันจะไปของมันอย่างนี้ แล้วถ้ามันไปของมันอย่างนี้ เราก็ปรารถนาของเราอยู่อย่างนี้ ทำคุณงามความดีของเราอยู่อย่างนี้ คุณงามความดี ผลของวัฏฏะไง ความดีของโลกไง

ถ้าความดีของโลกเราก็ทำ ไม่ใช่ว่าไม่ทำนะ เราก็ทำๆ เพราะว่าถ้าคนดี ดีจากหัวใจ หัวใจทำสิ่งใดเป็นความดีทั้งนั้นแหละ ความดีเพราะอะไร เพราะมันดีที่น้ำใจนั้น ดีที่ความรู้สึกนึกคิดนั้น พอมันดีที่ความรู้สึกนึกคิดนั้น ทำสิ่งใดมันก็ทำได้ไง แต่ถ้ามันดีโลก เห็นไหม ดีโลก ดูสิ เวลาคน มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลาความคิดมันไปอีกอย่างหนึ่งนะ เวลาพูดมาเราพูดไม่ได้ มารยาทสังคมแล้ว มันมีการตรวจสอบแล้ว มันมีความผิด เห็นไหม ดูสิ เวลาเราไป เขาเรียก เวลาพูดไปหมิ่นประมาทใคร เขาฟ้องหมิ่นประมาทแล้ว นี่เวลาคิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง แล้วทำอีกอย่างหนึ่ง เพราะมันทำตั้งใจ ตั้งใจอยากจะทำ เวลาคนมาปฏิบัติทุกคนอยากพ้นทุกข์ทั้งนั้นแหละ ทุกคนอยากปฏิบัติให้มันพ้นจากทุกข์ไป นี่ตั้งใจอย่างหนึ่ง เวลาทำแล้วได้ไหม เวลาทำแล้วสู้มันไหวไหม แล้วเราไปสู้กับใคร เราจะไปสู้รบทัพจับศึกสู้กับใคร

เวลาสงครามเราชนะใครมาแล้วเป็นหมื่นเป็นแสน เราสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันชนะตนเองประเสริฐที่สุด ชนะตัวเรานี่ ถ้าชนะตัวเรา เราจะรบทัพจับศึกกับตัวเรา ถ้าเรารบทัพจับศึกกับตัวเรา เรารบด้วยอะไร รบทัพจับศึกเรารบด้วยสติไง มีสติมันยับยั้งได้ ความรู้สึกนึกคิด มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง คิดทำไม มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง คิดมาอย่างไร คิดมาจากอะไร แล้วทำไมจะต้องคิด เห็นไหม มันจะรบกับตัวเองไง ถ้ามันมีสติมันจะรบกับตัวเอง ถ้ามันรบไม่ได้ รบไม่ได้ เราไม่มีสติปัญญาพอ เรากำหนดพุทโธของเราไว้ กำหนดพุทโธไว้ สร้างกำลังขึ้นมา

ดูสิ เวลาต้นไม้ใหญ่ ลมพัดมันถอนรากถอนโคนเลย เวลาหญ้า เวลาลมพัดมามันไหวพริ้วไปเลยนะ ลมพัดมันอ่อนลู่ไปนะ พอลมผ่านไปแล้วมันก็ตั้งชูขึ้นมาใหม่ อ้าว! ต้นไม้ใหญ่เวลาลมพัดมามันหงายท้องไปเลย แล้วความคิดล่ะ ความคิดที่มันเกิดกับใจๆ เวลามันทิฏฐิมานะ ยิ่งต้นไม้ใหญ่ยิ่งทิฏฐิมานะมาก ยิ่งเจ็บปวดมาก เวลามันอ่อนไหว สิ่งใดลมมันพัดมา มันลู่ตามลมไปเลย เรามีสติปัญญา สติปัญญามันคิดได้ มันเปรียบเทียบได้ ความเปรียบเทียบอย่างนี้ได้ เราเห็นไง เห็นตั้งแต่บุคลาธิษฐาน ตั้งแต่ต้นไม้ใหญ่ ต้นใบหญ้า แล้วเรามาคิดถึงความรู้สึกเราสิ ความรู้สึกเวลาชำระล้างกิเลสนะ ความอ้อยสร้อย ความอาลัยอาวรณ์อันนั้นแหละอันสุดท้าย

เริ่มต้นก็เกิดจากตัวตนของเรา เริ่มต้นจากเกิดกามราคะ เริ่มต้น เห็นไหม เริ่มต้นจากตัวตน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นของเรา สุดท้ายแล้วกามราคะ กามฉันทะก็พอใจตัวเอง พอไปถึงที่สุด ความอ่อนไหวของมัน จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส ความผ่องใส ความสว่างไสว ความเป็นไปของมัน มันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันละเอียด ถ้าเรามีสติปัญญามันพิจารณาเข้าไป ถ้าพิจารณาเข้ามา รบทัพจับศึก รบทัพจับศึกกับตัวเราเอง ถ้าเรารบทัพจับศึกกับตัวเราเอง มันดีที่นี่

ถ้ามันดีแล้ว พอดีแล้ว เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข เวลาเทศนาว่าการครูบาอาจารย์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็จบแล้ว พอจบขึ้นมา “ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเรา ๖๑ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”

บ่วงที่เป็นโลก ชื่อเสียง สรรเสริญ เกียรติศัพท์เกียรติคุณที่โลกเขาสรรเสริญ ที่เขาไปสร้างกระแสกันให้คนหันมามอง เธอพ้นจากบ่วงมาแล้ว ไม่สนใจมัน

เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ ทำบุญกุศลแล้ว ทำคุณงามความดีมันเป็นทิพย์ มันผลของวัฏฏะไง

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกเขาเดือดร้อนนัก โลกเขาหวั่นไหวนัก โลกเขาต้องการที่พึ่งอาศัย” เห็นไหม เผยแผ่ธรรมๆ ไป เผยแผ่ธรรมไป โลกเขาเร่าร้อน โลกเขาต้องการที่พึ่ง ที่พึ่งมันคืออะไรล่ะ

ที่พึ่ง เห็นไหม อย่างน้อยทำบุญกุศลก็ได้ที่พึ่งของเราแล้ว เสียสละทานนี่ได้ที่พึ่ง ที่พึ่ง เพราะสิ่งที่ทำไปแล้วมันเป็นทิพย์ จิตใจมันนึกได้ จิตใจมันเข้าใจได้ มันเป็นทิพย์ เพราะอะไร เพราะของนี้เป็นวัตถุ มันเสียหาย มันเก็บไว้นะ มันไม่อยู่กับเราหรอก แต่สิ่งที่สละไปแล้วเป็นทิพย์อยู่กับเราแล้ว สิ่งที่เราทำไป คุณประโยชน์กับเราทั้งนั้นแหละ จิตใจที่เข้มแข็ง เข้มแข็งเพราะทำขึ้นมาอย่างนี้ นี่ผลประโยชน์ของเขาแล้ว เผยแผ่ธรรมไป ถ้าเขาเสียสละทานของเขา เขาสนใจของเขา เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติของเขา เพราะเขาสนใจแล้วเขาอยากจะมีความสุขอย่างนั้น ถ้ามีความสุขอย่างนั้น จิตใจเขามีคุณค่าขึ้นมาแล้ว จิตใจเขามีคุณค่าขึ้นมาเพราะเหตุใด

เวลาเราอยู่ทางโลก ดูสิ ติฉินนินทา เวลากระแสมันเข้ามาในหูเรา เรามีแต่ความรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งนั้นเลย เราหวั่นไหวไปหมดเลย แต่ถ้าวันไหนถ้าเรามีสติมีปัญญา เราตั้งตัวของเราได้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เขาพูดมันจริงหรือเปล่า เขาพูดมันเป็นลมปากคน เขาพูดมันไร้สาระ เขาพูดมันกระแสอยู่ข้างนอก ถ้าหัวใจมั่นคง เห็นไหม เพราะมันมีสำนึกไง เพราะถ้าเราสำนึกตัวเราเอง เราจะปฏิบัติได้

พอเราปฏิบัติขึ้นมา เราจะกำหนดพุทโธแล้ว กำหนดพุทโธ เราจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันมาเห็นความจริงแล้ว นี่คนดี เด็กมันจะดี คนมันจะดี ดีที่ใจนั้น ถ้าใจมันดี เพราะสัมมาสมาธิ แล้วพอเกิดวิปัสสนาญาณ เกิดวิปัสสนา ปัญญาก็รู้แจ้ง รู้แจ้งในการประพฤติปฏิบัติของตัว รู้แจ้งเข้ามา นี่จะรบทัพจับศึกกับตัวแล้ว

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ ถ้าสอนที่นี่ สอนที่นี่คืออาสวักขยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติผ่านมาขนาดไหน ถ้าทำไม่จบไม่สิ้นมันจะจุตูปปาตญาณ จะไปของมัน แล้วถ้าอาสวักขยญาณ ปัญญาที่เราจะรบทัพจับศึก มันเข้ามาสำรอก มันเข้ามาคายออก เข้ามาคายอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้จักตัวมันเอง

อวิชชานะ รู้เรื่องอื่นไปหมดเลย แต่ไม่รู้จักตัวเราเอง ความไม่รู้เท่าความคิดตัวเอง มันเลยติดข้องจากหัวใจของเรา เลยสงสัยไปทั่วโลกเลย สงสัยไปทั่วจักรวาลเลย มันมีจริงหรือเปล่า เทวดา อินทร์ พรหมมันมีจริงหรือเปล่า ทุกอย่างมีจริงหรือเปล่า เพราะมันสงสัยตัวมันเองไง

แต่ถ้ามันไปสำรอก มันไปคาย ไปทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ ทำลายภพแล้วมันเข้าใจตัวมันเอง มันจะมีอะไรล่ะ เข้าใจจบสิ้น คนดี ความดี แต่ความดีอย่างนี้มันต้องอาศัยไง พาหะ ทาน ศีล ภาวนา แล้วมันต้องอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการในพระไตรปิฎกคือวิธีการทั้งนั้น เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา เรื่องวิถีแห่งจิต แต่เวลาถึงที่สุดแล้วมรรคผลนิพพาน

ในพระไตรปิฎกยังไม่ได้อธิบายไว้เลยว่าคำว่า “นิพพาน” นิพพาน มีพระไปถามมาก เขาว่าอายตนะนิพพาน ก็จำคำหนึ่ง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเป็นบุคลาธิษฐานให้เป็นอย่างนี้ว่าพระอรหันต์เขาอยู่กันอย่างไร อายตนะ มันว่าจิตมันนิพพานไปแล้ว ก็อาศัยอายตนะนั้นอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่เขาก็ดำรงชีวิตแบบนั้น พอบอกว่าอายตนะนิพพาน มันไปคว้าอายตนะมาเป็นนิพพานเลยล่ะ ไม่ได้บอกว่าจิตเป็นนิพพาน ไม่ได้บอกว่าจิตนี้เป็นธรรมธาตุ ไม่ได้ว่าจิตนี้เป็นผู้หลุดพ้น หลุดพ้นไปแล้วมันเป็นอย่างไร

เวลาอธิบายให้ใครฟัง อธิบายให้พระที่สมัยพุทธกาลที่ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็อธิบาย เพราะผู้รู้ท่านอธิบาย อธิบายเป็นบุคลาธิษฐาน เป็นแง่มุมหนึ่ง ไอ้คนก็ไปยึดแง่มุมนั้นเป็นนิพพานเลยนะ นิพพานต้องเป็นแง่มุมอย่างนั้น เอามาขยายความกันไป เพราะคนไม่รู้ อวิชชา เห็นไหม ถ้ามันรู้จริงของมันนะ มันจะเป็นความจริงของมัน

จากเด็กดีๆ เด็กคนหนึ่งเราสร้างขึ้นมา เราเป็นขึ้นมา เราก็เป็นเด็กมาก่อนไง เด็กดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี จิตใจเขาดี เขาสร้างบุญกุศลของเขามา แล้วเขามาเกิดเป็นลูกเป็นเต้ากัน นี่สายบุญสายกรรม ถ้าสายบุญสายกรรม สิ่งที่มาด้วยความผูกพัน ด้วยความต่างๆ สิ่งนี้ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราไปเพื่อความสุข เพื่อความสุข เพื่อคุณงามความดี ไม่ใช่การยอมจำนน นี่เชื่อเรื่องกรรม ทำดีต้องได้ดี

กรรมคือการกระทำ กรรมคือทำดี ไม่ใช่กรรม กรรม พอเราบอกว่ากรรมปั๊บ เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราเป็นฝ่ายต้องทดแทน...ไม่ใช่ ฝ่ายทดแทนคือเราทำมา กรรมเก่า กรรมใหม่คือการกระทำเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ กรรมคือการกระทำ ทำแต่คุณงามความดีเพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ เอวัง